บันทึกหลังการเรียนรู้
ครั้งที่ 2 วันที่ 22 มกราคม 2561
เนื้อหาการเรียนรู้
วันนี้เป็นการเรียนการสอนสัปดาห์ที่2แต่ละกลุ่มออกมานำเสนองานตามหัวข้อที่กลุ่มของตนเองได้รับ
Ø นำเสนอกลุ่มที่1 เรื่อง คุณลักษณะตามวัย (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด้กอายุ 3-6
ปี)
มีการกำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 12 มาตรฐาน
มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์
เป็นจุดหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยที่มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย
ความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลทั้งทางด้านร่างกาย
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา เมื่อเด็กจบการศึกษาระดับปฐมวัย เด็กจะบรรลุตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่กำหนดไว้ในจุดหมาย
12 ข้อ และการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยต้องคำนึงถึงคุณลักษณะตามวัยของเด็กด้วย
โรงเรียนบ้านหนองผือ จึงนำสู่การวิเคราะห์คุณลักษณะตามวัยเพื่อกำหนดตัวบ่งชี้
และสภาพที่พึงประสงค์ ดังแสดงในตารางต่อไปนี้
1. ด้านร่างกาย
มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย และมีสุขนิสัยที่ดี
มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย และมีสุขนิสัยที่ดี
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
มีน้ำหนัก ส่วนสูง เส้นรอบศีรษะตามเกณฑ์อายุ |
1.น้ำหนัก
ส่วนสูงได้สัดส่วนตามเกณฑ์
2.เส้นรอบศีรษะตามเกณฑ์อายุ |
1.น้ำหนัก
ส่วนสูงได้สัดส่วนตามเกณฑ์
2.เส้นรอบศีรษะตามเกณฑ์อายุ |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
รู้จักรักษาสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย |
1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ได้บางชนิด
2.ล้างมือหลังจากใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม 3.ขับถ่ายเป็นเวลา 4.พักผ่อนเป็นเวลา 5.ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น |
1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ได้หลายชนิด
2.ล้างมือหลังจากใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม 3.ขับถ่ายเป็นเวลา 4.พักผ่อนเป็นเวลา 5.ระมัดระวังความปลอดภัยรู้จักดูแลสุขภาพและป้องกันตนเองไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ |
มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่กล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
เคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่วและทรงตัวได้ดี |
1.วิ่งและหยุดได้โดยเสียการทรงตัวเล็กน้อย
2.กระโดดขาเดียวอยู่กับที่ได้ 3.เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้ 4.เดินต่อเท้าไปข้างหน้าตามแนวได้ |
1.วิ่งอย่างรวดเร็วและหยุดได้โดยไม่เสียการทรงตัว
2.กระโดดขาเดียวไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง 3.เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว 4.เดินต่อเท้าถอยหลังตามแนวได้ |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
ใช้มือได้อย่างคล่องแคล่ว |
1.โยนลูกบอลไปข้างหน้าได้
2.รับลูกบอลได้โดยไม่ใช้ลำตัวช่วย 3.เขียนรูปสี่เหลี่ยมมีมุมชัดเจนได้ 4.ตัดกระดาษตามแนวเส้นได้ 5.ร้อยวัสดุที่มีรูขนาดเล็กได้ |
1.โยนลูกบอลไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมายได้
2.รับลูกบอลที่กระดอนจากพื้นได้ 3.เขียนรูปสามเหลี่ยมมีมุมชัดเจนได้ 4.ตัดกระดาษตามแนวเส้นตรงได้โดยไม่มีรอยหยัก 5.ร้อยวัสดุที่มีรูขนาดเล็กได้ |
2. ด้านอารมณ์และจิตใจ
มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
การแสดงออกด้านอารมณ์อย่างเหมาะสมตามวัยและสถานการณ์ |
1.ร่าเริง แจ่มใส
อารมณ์ดี
2.แสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมกับบางสถานการณ์ |
1.ร่าเริง แจ่มใส
อารมณ์ดี
2.แสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมกับวัยและสถานการณ์ |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น |
1.บอก/แสดงสีหน้าท่าทางพอใจในผลงาน/ความสามารถและยอมรับในสิ่งที่ตนมีอยู่
เป็นอยู่
2.รับรู้ความรู้สึกและอารมณ์ของผู้อื่นได้บ้าง 3.บอก/แสดงสีหน้าท่าทางพอใจในผลงาน/ความสามารถและยอมรับในสิ่งที่ผู้อื่นมีอยู่/เป็นอยู่ |
1.บอก/แสดงสีหน้าท่าทางพอใจในผลงาน/ความสามารถและยอมรับในสิ่งที่ตนมีอยู่
เป็นอยู่
2.รับรู้ความรู้สึกและอารมณ์ของผู้อื่นได้บ้าง 3.บอก/แสดงสีหน้าท่าทางพอใจในผลงาน/ความสามารถและยอมรับในสิ่งที่ผู้อื่นมีอยู่/เป็นอยู่ |
มาตรฐานที่ 4 มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
มีวินัยในตนเองและมีความรับผิดชอบ |
1.เก็บของเล่นเข้าที่ได้
2.รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ 3.รู้จักรอคอยและเข้าแถวตามลำดับก่อนหลัง 4.เข้าแถวได้อย่างมีระเบียบ 5.ปฏิบัติตามข้อตกลงของห้องเรียน โรงเรียนอย่างเหมาะสม |
1.เก็บของเล่นเข้าที่ได้เรียบร้อย
2.รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ 3.รู้จักรอคอยและเข้าแถว ตามลำดับก่อนหลัง 4.เข้าแถวได้อย่างมีระเบียบ 5.ปฏิบัติตามข้อตกลงของห้องเรียน โรงเรียนอย่างเหมาะสม |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
ซื่อสัตย์สุจริตและยอมรับความผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น |
1.รู้จักขอโทษและให้อภัย
2.ไม่แย่งหรือหยิบของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง |
1.รู้จักขอโทษและให้อภัย
2.ไม่แย่งหรือหยิบของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง |
ตัวบ่งชี้ที่ 3
มีความเมตตากรุณาและช่วงเหลือแบ่งปัน |
1.แสดงความรักเพื่อนและสัตว์เลี้ยง
2.ไม่ทำร้ายผู้อื่นและไม่ทำให้ผู้อื่นเสียใจ 3.รู้จักแบ่งปันและเริ่มช่วยเหลือผู้อื่น |
1.แสดงความรักเพื่อนเด็กที่เล็กกว่าและสัตว์ต่างๆ
2.ไม่ทำร้ายผู้อื่นและไม่ทำให้ผู้อื่นเสียใจ 3.รู้จักแบ่งปันและเริ่มช่วยเหลือผู้อื่น |
ตัวบ่งชี้ที่ 4
รู้จักประหยัดและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง |
1.รู้จักรักษาสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน
2.รู้จักอดทน รอคอย และรู้จักการอดออม |
1.รู้จักรักษาสิ่งของ/เครื่องใช้ที่ใช้ร่วมกัน
2.รู้จักใช้น้ำ/ไฟฟ้าอย่างประหยัด 3.รู้จักการอดทน รอคอย และรู้จักการอดออมเพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้า |
มาตรฐานที่ 5 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว และรักการออกกำลังกาย
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
สนใจและมีความสุขกับศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว |
1.สนใจและมีความสุขขณะทำงานศิลปะ
2.สนใจและมีความสุขกับเสียงเพลง ดนตรี และการเคลื่อนไหว |
1.สนใจและมีความสุขขณะทำงานศิลปะ
2.สนใจ ชื่นชมและมีความสุขกับเสียงเพลง ดนตรี และการเคลื่อนไหว |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
แสดงออกทางด้านศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหวตามจินตนาการ |
1.สร้างสรรค์ผลงานทางด้านศิลปะ
2.แสดงท่าทางเคลื่อนไหวประกอบเพลง จังหวะและดนตรี |
1.สร้างสรรค์ผลงานทางด้านศิลปะ
2.แสดงท่าทางเคลื่อนไหวประกอบเพลง จังหวะและดนตรี |
ตัวบ่งชี้ที่ 3
รักการออกกำลังกาย |
สนใจและมีความสุขในการชม/การเล่น/การออกกำลังกาย
|
สนใจและมีความสุขในการชม/การเล่น/การออกกำลังกาย
|
3. ด้านสังคม
มาตรฐานที่ 6 ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะสมกับวัย
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง |
1.แต่งตัวได้ด้วยตนเอง
2.รับประทานอาหารได้ด้วยตนเองโดยไม่หกเลอะเทอะ 3.รู้จักทำความสะอาดร่างกายหลังจากเข้าห้องน้ำ ห้องส้วม |
1.เลือกเครื่องแต่งกายและแต่งตัวด้วยตนเอง
2.รับประทานอาหารด้วยตนเองอย่างถูกวิธี 3.ใช้เครื่องมือเครื่องใช้ในการรับประทานอาหารได้ 4.ทำความสะอาดร่างกายได้ |
มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
ดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม |
1.สนใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
2.ทิ้งขยะถูกที่ 3.ไม่ทำลายสาธารณสมบัติ |
1.สนใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
2.ทิ้งขยะถูกที่ 3.ไม่ทำลายสาธารณสมบัติ 4..ช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมรอบตัว |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
มีสัมมาคารวะและมารยาทตามวัฒนธรรมไทย |
1.แสดงความเคารพตามประเพณีของแต่ละท้องถิ่นได้
2.รู้จักกล่าวคำขอบคุณและขอโทษ |
1.แสดงความเคารพตามประเพณีของแต่ละท้องถิ่นได้
2.รู้จักทักทาย กล่าวคำขอบคุณและขอโทษ 3.ปฏิบัติตนได้เหมาะสมตามกาลเทศะ |
มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
เล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ |
1.รู้จักรอคอย
2.เล่นและทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ |
1.รู้จักรอคอยตามลำดับก่อนหลังได้
2.เล่นหรือทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มได้ โดยมีจุดหมายร่วมกัน |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
ปฏิบัติตนเบื้องต้นในการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข |
1.ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมกัน
2.เริ่มรู้จักการเป็นผู้นำผู้ตามได้บางครั้ง |
1.ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมกัน
2.เป็นผู้นำ ผู้ตามที่ดี |
4. ด้านสติปัญญา
มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
สนทนาโต้ตอบ เล่าเรื่องให้ผู้อื่นเข้าใจ |
1.สนทนาโต้ตอบ/เล่าเรื่องเป็นประโยคอย่างต่อเนื่อง
2.ฟังและปฏิบัติตามคำสั่งที่ต่อเนื่องได้ |
1.สนทนาโต้ตอบหรือเล่าเรื่องเป็นราวได้
2.ฟังและปฏิบัติตามคำสั่งและนำคำสั่งมาถ่ายทอดได้ |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
อ่านเขียนภาพและสัญลักษณ์ได้ |
1.เปิดและทำท่าอ่านหนังสือได้
2.ขีดเขียนเป็นเส้นคล้ายตัวหนังสือ (โดยไม่เน้นความถูกต้องและไม่ได้เกิดจากการฝึก) 3.เขียนภาพ / สัญลักษณ์ตามความต้องการของตนเองได้ |
1.เปิดและทำท่าอ่านหนังสือพร้อมทั้งเล่าเรื่องราวได้
2.เขียนชื่อ คำ ข้อความที่ลอกแบบหรือจำมาได้ 3.เขียนภาพ/สัญลักษณ์ตามความต้องการของตนเองได้ |
มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาได้เหมาะสมกับวัย
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
มีความคิดรวบยอดในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ |
1.บอกคุณสมบัติของสิ่งที่มองเห็นได้
3 อย่าง
2.บอกรสของสิ่งที่ชิม ได้ 3 รส 3.บอกเสียงที่ได้ยินได้ 3 เสียง 4.บอกกลิ่นของสิ่งที่ตนดมได้ 3 กลิ่น 5.บอกความรู้สึกของสิ่งที่สัมผัสได้ 3 อย่าง 6.จำแนกเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ได้ 4–5 อย่าง 7.จัดหมวดหมู่สิ่งต่างๆ ได้ 3 ลักษณะ 8.เรียงลำดับสิ่งต่างๆ ได้ 4 –5 ลำดับ 9.เรียงลำดับเหตุการณ์ได้ 4-5 ลำดับ 10.บอก/แสดงตำแหน่ง“บน-ล่าง”ทิศทาง “เข้า-ออก”ได้ 11.บอก/แสดงความ สัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ได้ 2 ประเภท 12.บอกหรือแสดงค่าจำนวน 1 - 5 |
1.บอกคุณสมบัติของสิ่งที่มองเห็นได้
4 อย่าง
2.บอกรสของสิ่งที่ชิม ได้ 4 รส 3.บอกเสียงที่ได้ยินได้ 4 เสียง 4.บอกกลิ่นของสิ่งที่ตนดมได้ 4 กลิ่น 5.บอกความรู้สึกของสิ่งที่สัมผัสได้ 4 อย่าง 6.จำแนกเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ได้ 6-10 อย่าง 7.จัดหมวดหมู่สิ่งต่างๆ ได้ 4 ลักษณะ 8.เรียงลำดับสิ่งต่างๆ ได้ 6 - 10 ลำดับ |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
แก้ปัญหาในการเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ |
1.รู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
2.เริ่มตัดสินใจในเรื่องง่ายๆได้ 3.พยายามแก้ปัญหาด้วยตนเองหลังจากได้รับคำชี้แนะ 4.รู้จักตัดสินใจในเรื่องง่ายๆและเริ่มเรียนรู้ผลที่เกิดขึ้น |
1.พยายามหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง
2.ตัดสินใจในเรื่องง่ายๆและยอมรับผลที่เกิดขึ้น |
มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
ทำงานศิลปะตามความคิดของตนเอง |
1.สร้างผลงานตามความคิดของตนเองโดยมีรายละเอียด
2.วาดภาพตามความคิดสร้างสรรค์ของตนเองได้ |
1.สร้างผลงานตามความคิดโดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมและแปลกใหม่
2.วาดภาพตามความคิดสร้างสรรค์ของตนเองได้ |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
แสดงท่าทางตามความคิดของตนเอง |
แสดงท่าทางตามความคิดและจินตนาการได้อย่างอิสระ
|
แสดงท่าทางเล่นบทบาทสมมุติตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ได้
|
ตัวบ่งชี้ที่ 3
เล่าเรื่องราวหรือนิทานตามความคิดของตนเอง |
เล่านิทานหรือเรื่องราวตามจินตนาการได้
|
เล่านิทาน เล่าสิ่งที่ตนคิด
หรือเรื่องราวตามจินตนาการได้ |
มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีทักษะในการแสวงหาความรู้
ตัวบ่งชี้
|
สภาพที่พึงประสงค์
|
|
เด็กอายุ
4 ปี
|
เด็กอายุ
5 ปี
|
|
ตัวบ่งชี้ที่ 1
สนใจเรียนรู้สิ่งต่างๆ |
1.ร่วมกิจกรรมด้วยความ
สนใจได้นานอย่างมีความสุข 2.มีความสนใจหยิบ/เปิดหนังสือดูและอ่านภาพ 3.มีความสนใจขีดเขียนลากเส้นต่างๆ |
1.ร่วมกิจกรรมด้วยความสนใจตั้งแต่ตนจนจบอย่างมีความสุข
2. รักหนังสือและมีความสนใจหยิบ/เปิดหนังสือดูและอ่านภาพ 3.มีความสนใจขีดเขียนลากเส้นต่างๆอย่างมีความหมาย |
ตัวบ่งชี้ที่ 2
แสวงหาคำตอบด้วยวิธีการที่หลากหลาย |
1.ถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ
2.แสดงหาคำตอบ/ข้อสงสัยด้วยวิธีการซักถาม สำรวจ ค้นคว้า ทดลอง 3.เชื่อมโยงความรู้และทักษะต่างๆ ใช้ในชีวิตประจำวันได้ |
1.ถามคำถาม/แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ
2.แสดงหาคำตอบ/ข้อสงสัยด้วยวิธีการต่างๆ ที่หลากหลาย 3.เชื่อมโยงความรู้และทักษะต่างๆ ในชีวิต ประจำวัน |
เพิ่มเติม
ข้อแตกต่างหลักสูตรเก่า
2546 & หลักสูตรใหม่ 2560
เพิ่มเติมวิสัยทัศน์
ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
เพิ่มเติมตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์รายอายุ"เพื่อให้มีเนื้อหาที่ชัดเจน
สถานศึกษาสามารถนำไปออกแบบ และจัดหลักสูตรสถานศึกษาของตนเอง
ครูสามารถนำไปวางแผนการพัฒนาผู้เรียนรายอายุได้ง่ายขึ้น
เดิมการประสานงานพัฒนาเด็กปฐมวัย
ในส่วนของการพัฒนาทักษะกระบวนการ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ระหว่างหน่วยงาน
สพฐ. กับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) นั้นต่างคนต่างทำ
แต่ในหลักสูตรใหม่จะทำงานร่วมกัน โดยคณะทำงานของ
สสวท.เป็นผู้พัฒนาเนื้อหาที่ง่ายสำหรับเด็ก และชัดเจนสำหรับครูนำสู่การปฏิบัติ
จุดเด่นเพิ่มเติมของการพัฒนา
ด้านร่างกาย เพิ่มการพัฒนาการตระหนักรู้ เกี่ยวกับร่างกายตนเอง (self-awareness)
คือการเคลื่อนไหวโดยควบคุมตนเองไปในทิศทางระดับและพื้นที่, ด้านอารมณ์จิตใจ เพิ่มอัตลักษณ์เฉพาะตน
และเชื่อว่าตนเองมีความสามารถและการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น, ด้านสังคม
เพิ่มการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่น และความเป็นไทย การมีวินัย
การยอมรับในความเหมือนและแตกต่าง ระหว่างบุคคล และ ด้านสติปัญญา
เพิ่มการพัฒนาความสามารถในการคิดรวบยอด การคิดเชิงเหตุผล การคิดแก้ปัญหา
และตัดสินใจการใช้ภาษาในการเรียนรู้
“มาตรฐาน” (Standards) ได้ถูกเขียนขึ้นโดยนำเอารายละเอียดของความจำเพาะทางเทคนิค
หรือหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่เห็นพ้องร่วมกัน เพื่อใช้เป็นกฏ, แนวทาง
หรือ คำนิยามของคุณลักษณะต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า วัตถุดิบ, ผลิตภัณฑ์, กระบวนการ หรือบริการต่างๆ
เหมาะสมตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”
Ø นำเสนอกลุ่มที่
2 เรื่องความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
ความสนใจคือสิ่งที่เด็กสนใจอยากที่จะเรียนรู้
เด็กในช่วงวัย 2-5 ปี มีการฝึกพูด
อยากพูดในสิ่งต่างๆเป็นช่วงวัยที่มีการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
หากได้รับการพัฒนาที่ถูกวิธี
กิจกรรมเพื่อส่งเสริมเด็กปฐมวัย
กิจกรรมเสรี
การเล่นตามมุมเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเล่นอิสระตามมุมหรือมุมประสบการณ์หรือศูนย์การเรียน
ที่จัดไว้ในห้อง เช่นมุมบล็อก มุมหนังสือ มุมเขียน
กิจกรรมเสรีถือว่าเป็นกิจกรรมที่สำคัญต่อการส่งเสริมทางด้านการอ่านละการเขียนของเด็ก
กิจกรรมสร้างสรรค์
เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการ
กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด้กเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ
กิจกรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม
เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้เด็กพัฒนาทักษะการเรียนรู้
กิจกรรมกลางแจ้ง
เป็นกิจกกรมที่จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียนเพื่อออกกำลัง
เกมการศึกษา
เป็นเกมการเล่นที่ช่วยพัมนาสติปัญญา
การสอนแบบหน่ววยบูรณาการ
เพื่อให้ประสบการณ์ที่มีความหมายกับเด้ก
เพราะเด็กได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ
การอ่านเขียนร่วมกัน
การเขียนร่วมกัน/การเขียนตามลำพัง/การอ่านตามลำพัง/ดนตรีและจังหวะ/การเล่นกลางแจ้ง
ความต้องการของเด็กปฐมวัย
ด้านร่างกาย การกระโดด การวิ่งเล่น
ด้านอารมณ์ ต้องการความรัก การดูแลเอาใจใส่
ด้านสังคม การเล่นของเด็กจะเกิดจากความต็มใจของตัวเด็ก
แสดงออกอย่างสนุกสนานเมื่อเล่นกับเพื่อน
ด้านสติปัญญา การใช้ภาษาในการแก้ไขปัญหา
เพิ่มเติม
ทฤษฎัที่เกี่ยวกับการเล่น
เฮอร์ลอค (Hurlock, 1956 :
321) กล่าวว่า การเล่นเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน
โดยไม่คำนึงถึงผลที่เกิดขึ้น
และมักเป็นกิจกรรมที่บุคคลกระทำโดยไม่ถูกบังคับ
แมค (Mack, 1975)
การเล่นเป็นกิจกรรมที่จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
การเล่นของเด็กเปรียบได้กับการทำงานของผู้ใหญ่
ต่างกันตรงที่การเล่นของเด็กไม่มุ่งหวังสิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อสิ้นสุดการเล่น
นอกจากเป็นความพึงพอใจตามธรรมชาติ
เพียเจท์ (Piaget, 1962)
ได้กล่าวว่าการเล่นเป็นกิจกรรมในการพักผ่อน เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการแข่งขันเพียงอย่างเดียว
แต่ควรคำนึงถึงว่าเมื่อเด็กเล่นแล้วได้ประโยชน์ รู้จักคิด รู้จักแก้ปัญหา ให้อภัย
และเสียสละ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์ ได้ทำงานร่วมกันเพื่อการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์
สังคม และสติปัญญา
มาร์กาเร็ต โลเวนเฟลด์ (Margaret loventfeld, 1977 : 100, อ้างถึงใน เยาวพา เดชะคุปต์,2542 :
21)
ได้กล่าวถึงความหมายของการเล่นของเด็กปฐมวัยเอาไว้ในหนังสือ ชื่อ “Play
in Childhood” ว่า
การเล่น
คือ การกระทำกิจกรรมทางร่างกาย (Play as
a Bodily Activity)
การเล่น
คือ การได้รับประสบการณ์ซ้ำ (Play as
Repetition of Experience)
การเล่น
คือ การแสดงออกซึ่งความเพ้อฝัน (Play as
Demonstration of Fantasy)
การเล่น
คือ การเข้าใจถึงสิ่งแวดล้อม (Play as
Realization of Environment)
การเล่น
คือ การเตรียมการเพื่อชีวิต (Play as
Preparation for Life)
รูดอล์ฟ (Rudolph, 1984 :
96) กล่าวว่า
การเล่นเป็นกระบวนการของการพัฒนาทั้ง 4 ด้านของเด็ก คือ ด้านร่างกาย จิตใจ สังคม
และสติปัญญา ซึ่งการเล่นนี้มีองค์ประกอบ 3 ประการดังนี้
การเล่นนำไปสู่การค้นพบเหตุผลและความคิด
การเล่นเป็นการเชื่อมโยงระหว่างเด็กกับสังคม
การเล่นเป็นการนำเด็กไปสู่ความสมดุลในสังคม
Ø นำเสนอกลุ่มที่
3 เรื่องการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
เพียเจย์
แบ่งองคืประกอบที่สำคัญ
การขยายโครงสร้าง และ
การปรับเข้าสู่ดครงสร้าง
พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ แบ่งออกเป็น
4
ขั้น
1 . ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี
พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า
การเคลื่อนไหว
2 . ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational
Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2
ขั้น คือ -- ขั้นก่อนเกิดสังกัป
(Preconceptual
Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี
เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน
แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง --
ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive
Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี
ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น
รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข
3 . ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete
Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี
พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้
เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้
4 . ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal
Operational Stage) นี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี
ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด
คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง
เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่
ทฤษฎีการเรียนรู้ของวีก๊อทสกี้
วีก็อตสกี้เป็นนักจิตวิทยาชาวรัชเซีย
ทฤษฎีเชาว์ปัญญาของวีก็อทสกี้เน้นความ สำคัญของวัฒนธรรม สังคม
และการเรียนรู้ที่มีต่อพัฒนาการเชาว์ปัญญา
วีก็อตสกี้ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและสังคมมาก
เขาอธิบายว่ามนุษย์ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิดซึ่งนอกจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติแล้ว
ก็ยังมีสิ่งแวดล้อมทางสังคม ซึ่งก็คือวัฒนธรรมที่แต่ละสังคมสร้างขึ้น
ดังนั้น สถาบันสังคมต่างๆ เริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว
จะมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของแต่ละบุคคล นอกจากนั้น
ภาษายังเป็นเครื่องมือสำคัญของการคิดและพัฒนาปัญญาขั้นสูง
พัฒนาการทางภาษาและทางความคิดของเด็กเริ่มด้วยการพัฒนาที่แยกจากกัน
แต่เมื่ออายุมากขึ้นพัฒนาทั้งสองด้านจะไปร่วมกัน
วีก็อตสกี้แบ่งระดับเชาว์ปัญญาออกเป็น 2
ขั้น คือ
1.
เชาว์ปัญญาขั้นเบื้องต้น คือเชาว์ปัญญามูลฐานตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้
2.
เชาว์ปัญญาขั้นสูง
คือเชาว์ปัญญาที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่ให้การอบรม เลี้ยงดู
ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้โดยใช้ภาษา
บรุนเนอร์
(Bruner)
เป็นนักจิตวิทยาที่สนใจและศึกษาเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่องจากเพียเจต์
บรุนเนอร์เชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง
(discovery learning) ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์แบ่งได้เป็น
3 ขั้นใหญ่ ๆ คือ
1 .
ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive
Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง
ๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ
2 .
ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic
Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้
และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้
3 .
ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม
(Symbolic
Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
Ø นำเสนอกลุ่มที่ 4 เรื่องรูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนแบบโครงการ
การสอนแบบโครงการ หมายถึง
การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเด็ก
ส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ แล้วดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา
โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและจากแหล่งเรียนรู้
การสอนแบบโครงการเป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีลักษณะสำคัญดังนี้
·
ความคิดพื้นฐานเชื่อว่า การเรียนรู้ของเด็กมาจากการกระทำ
เด็กเป็นผู้ที่ต้องพัฒนา มีความคิด มีความมุ่งหมาย
ความต้องการที่จะเรียนรู้ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นของตนเองต้องพึ่งตนเอง
การสอนแบบโครงการมุ่งพัฒนาทางร่างกายและจิตใจของเด็กไปพร้อมกัน
·
วิธีจัดการเรียนการสอนมี 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ
เด็กจะร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจ
ระยะที่ 2 ระยะวางแผนโครงการ
เป็นช่วงเวลาที่กำหนดจุดประสงค์ว่าต้องการเรียนรู้อะไร กำหนดขอบเขตเนื้อหา
ระยะเวลาและวิธีการศึกษา
ระยะที่ 3 สรุปโครงการ ครูและเด็กร่วมวางแผนสรุปโครงการ
เป็นขั้นตอนการประเมินโครงการ ทบทวนการปฏิบัติ และวางแผนโครงการใหม่
วิธีการสรุปโครงการอาจจะให้เด็กนำผลงานที่ได้รับมอบหมายมาแสดงต่อครูแล้วอภิปรายประเด็นปัญหา
หรือให้เด็กนำเสนอผลงาน ในรูปของการจัดแสดง จัดเป็นนิทรรศการ หรือสาธิตผลงาน
·
มีกิจกรรมหลักในโครงการ 4 กิจกรรมคือ
กิจกรรมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียน กิจกรรมทัศนศึกษา กิจกรรมสืบค้น
และกิจกรรมนำเสนอผลงาน
·
กิจกรรมสืบค้นมีหลากหลายได้แก่ การรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสังเกต
การสัมภาษณ์ การปฏิบัติทดลอง การรวบรวมเอกสาร การรายงาน
การจัดแสดงผลงานที่ได้จากโครงการ เป็นต้น
·
เรื่องที่จะเรียนมาจากความสนใจของเด็กที่ต้องการเรียนอย่างลุ่มลึก
เด็กจึงเป็นผู้วางแผนและร่วมคิด ร่วมมือสืบค้นกับผู้อื่น ครูเป็นผู้สนับสนุน
สังเกตและอำนวยความสะดวก หากเรื่องนั้นมีความเป็นไปได้ มีแหล่งข้อมูลเพียงพอ
พ่อแม่และชุมชนมีความพร้อมที่จะร่วมมือ
·
ทักษะการเรียนรู้หนังสือจำนวน ให้บูรณาการในหัวเรื่องโครงการ
รวมทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษา ดังนั้น
หัวเรื่องหนึ่งที่เด็กสนใจเรียนรู้นั้นต้องมีเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์และควรสำรวจที่โรงเรียนเหมาะกว่าที่บ้าน
การจัดการสอนแบบโครงการเป็นที่สนใจของนักการศึกษาจึงได้นำไปใช้และวิจัยสรุปถึงประโยชน์ที่มีต่อเด็กดังนี้
·
เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กพึ่งพาตนเองได้
·
ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่
·
เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเองในงานและกิจกรรมที่ทำ
·
เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร และผู้ใหญ่ยอมรับในความต้องการของเด็ก
·
เด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง อย่างมีความสุข
สนุกสนานเพราะเด็กได้เรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจ รู้จักประยุกต์ใช้ความรู้
·
ส่งเสริมให้เด็กมีวิธีการทำงานอย่างมีแบบแผน
·
สามารถนำรูปแบบการสืบค้นความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง
·
สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและครอบครัว
เนื่องจากการสอนแบบโครงการ พ่อแม่
ผู้ปกครองจะต้องร่วมมือกับครูสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กทุกรูปแบบ
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
Knowledge ความรู้
Learning การเรียนรู้
Project โครงการ
Concept mapping การทำแผนที่แนวคิด
การนำมาประยุกต์ใช้
นำแนวคิดและหลักการต่างๆที่อาจารย์อธิบายไปใช้สอนได้จริงและสามารถทำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้การสอนมีความทันสมัย
การประเมินผล
ประเมินตนเอง
ไปตรงเวลาและตั้งใจฟังที่อาจารย์พูด
มีข้อเสนอแนะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับอาจารยืเมื่ออาจารรย์ถาม
นำเสนอหัวข้อที่ตนเองได้รับและรู้ถึงความแตกต่างระหว่างหลักสูตรปี2546และ2560ว่ามีควมต่างกันอย่างไร
ประเมินเพื่อน
เพื่อนตั้งใจเรียนและช่วยกันตอบคำถามของอาจารยืได้เป้นอย่างดีเตรียมงานนำเสนอที่ตัวเองรับผิดชอบมมาป็นอย่างดี
ประเมินอาจารย์ผู้สอน
อาจารย์มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลาและเตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี
แต่งกายได้เหมาะสมสามารถเป็นตัวอย่างให้กับนักศึกษาได้
แนะนำและอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำเสนอเพื่อให้นักศึกษามีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น