บันทึกหลังการเรียนรู้
ครั้งที่ 8 วันที่ 5 มีนาคม 2561
เนื้อหาการเรียนรู้
หลักการและทักษะของ
EF
ทักษะ EF คือ
กระบวนการทางความคิดในสมองส่วนหน้า ที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก การกระทำ
เป็นความสามารถของสมองที่ใช้บริหารจัดการในชีวิตเรื่องต่าง ๆ
ซึ่งจะช่วยให้สามารถตั้งเป้าหมายในชีวิต รู้จักวางแผน มีความมุ่งมั่น จดจำสิ่งต่าง
ๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งรู้จักริเริ่มลงมือทำสิ่งต่าง ๆ
อย่างเป็นขั้นตอน
ความสำคัญของ
EF
ฐานของทักษะEF ที่แข็งแกร่งมีความสำคัญยิ่งกว่าการรู้จักตัวเลขหรือตัวหนังสือ
เมื่อเด็กได้รับโอกาสพัฒนา EF ทั้งตัวเด็กเองและสังคมได้รับประโยชน์
จะช่วยสร้างพฤติกรรมเชิงบวกและเลือกตัดสินใจในทางที่สร้างสรรค์ต่อตัวเอง
และครอบครัว หากเด็กมีทักษะ EFs เขาจะมีความสามารถในการคิด
v มีความจำดี
มีสมาธิจดจ่อสามารถทำงานต่อเนื่องได้จนเสร็จ
v รู้จักการวิเคราะห์
มีการวางแผนงานอย่างเป็นระบบ ลงมือทำงานได้ และจัดการกับกระบวนการทำงาน
จนเสร็จทันตามกำหนด
v นำสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อนในประสบการณ์มาใช้ในการทำงานหรือกิจกรรมใหม่ได้
v สามารถปรับเปลี่ยนความคิดได้
เมื่อเงื่อนไขหรือสถานการณ์เปลี่ยนไป ไม่ยึดติดตายตัว
จนถึงขั้นมีความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบได้
v รู้จักประเมินตนเอง
นำจุดบกพร่องมาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นได้
v รู้จักยับยั้งควบคุมตนเองไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ไม่เหมาะสมแม้จะมีสิ่งยั่วยวน
v รู้จักแสดงออกในครอบครัวในห้องเรียน
กับเพื่อน หรือในสังคมอย่างเหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่การรู้จักเคารพผู้อื่น
อยู่กับคนอื่นได้ดี ไม่มีปัญหา
v เป็นคนที่อดทนได้
รอคอยเป็น มีความมุ่งมั่นพร้อมความรับผิดชอบที่จะไปสู่ความสำเร็จ
สำหรับกลุ่มทักษะ
EF
ที่สำคัญมีทั้งหมด 9 ด้าน
1.ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน (Working
Memory) คือทักษะจำหรือเก็บข้อมูลจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
และดึงมาใช้ประโยชน์ตามสถานการณ์ที่พบเจอ เด็กที่มี Working
Memory ดี IQ ก็จะดีด้วย
2.ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง
(Inhibitory Control) คือความสามารถในการควบคุมความต้องการของตนเองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
เด็กที่ขาดความยับยั้งชั่งใจจะเหมือน “รถที่ขาดเบรก” อาจทำสิ่งใดโดยไม่คิด
มีปฏิกิริยาในทางที่ก่อให้เกิดปัญหาได้
3.ทักษะการยืดหยุ่นความคิด
(Shift Cognitive Flexibility) คือความสามารถในการยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
ไม่ยึดตายตัว
4.ทักษะการใส่ใจจดจ่อ
(Focus) คือความสามารถในการใส่ใจจดจ่อ
มุ่งความสนใจอยู่กับสิ่งที่ทำอย่าง ต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง
5.การควบคุมอารมณ์
(Emotion Control) คือ
ความสามารถในการควบคุมแสดงออกทางอารมณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
เด็กที่ควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่ได้ มักเป็นคนโกรธเกรี้ยว ฉุนเฉียว
และอาจมีอาการซึมเศร้า
6.การประเมินตัวเอง
(Self-Monitoring) คือการสะท้อนการกระทำของตนเอง รู้จักตนเอง
รวมถึงการประเมินการงานเพื่อหาข้อบกพร่อง
7.การริเริ่มและลงมือทำ
(Initiating) คือ
ความสามารถในการริเริ่มและลงมือทำตามที่คิด ไม่กลัวความล้มเหลว
ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
8.การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ
(Planning and Organizing) คือทักษะการทำงาน
ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การวางแผน การมองเห็นภาพรวม
ซึ่งเด็กที่ขาดทักษะนี้จะวางแผนไม่เป็น ทำให้งานมีปัญหา
9.การมุ่งเป้าหมาย
(Goal-Directed Persistence) คือ
ความพากเพียรมุ่งสู่เป้าหมาย เมื่อตั้งใจและลงมือทำสิ่งใดแล้ว
ก็มีความมุ่งมั่นอดทน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ ก็พร้อมฝ่าฟันให้สำเร็จ
เทคนิคในการสร้าง
EF นั้น เริ่มจากการเลือกของเล่นให้ลูกเล่น ทำให้เขาคิดอย่างสร้างสรรค์
ตัวอย่างของเล่น อาทิเช่น
ü ตัวต่อบล็อกไม้
ü เลโก้
ü หมากฮอส
ü หมากรุก
ü จิ๊กซอว์
แบบง่าย ๆ
ü ของเล่นสามเหลี่ยม
สี่เหลี่ยม และมีรูให้หลอดลงในช่อง
ของเล่นเหล่านี้
เป็นการพัฒนาความคิดของเด็ก หรือแม้แต่การทำงานบ้าน
อาจจะเตรียมผ้าแห้งเขาเขาเล่นเช็ดตู้ เช็ดพื้น หรือไม้กวาดให้เขาได้กวาดบ้าน
เป็นการฝึกความรับผิดชอบ รวมถึง การอ่านหนังสือให้ฟังทุกคืน ยิ่งพ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังมากเท่าไหร่
เด็กก็จะมีทักษะเรื่องการอ่าน (รวมถึงรักการอ่านด้วย) รวมถึงการเขียน
ฝึกให้มีเชาวน์ปัญญาดี
ความรูเพิ่มเติม
ประสบการณ์ ทำให้เด้กเกิดการเรียนรู้
กิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
v
เคลื่อนไหวอยู่กับที่และเคลื่อนไหวแบเคลื่อนที่
ü เคลื่อนไหวแบบฟังและปกิบัติตามคำสั่ง
ü เคลื่อนไหวแบบคำบรรยาย
ü เคลื่อนไหวตามข้อตกลง
ü เคลื่อนไหวแบบผู้นำผู้ตาม
ü เคลื่อนไหวตามจินตนาการ
ü เคลื่อนไหวโดยใช้ความจำ
ü เคลื่อนไหวประกอบดนตรี/เพลง
เทคนิคและวิธีการในการสอนกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
Ø ช้า/เร็ว เพื่อให้เด็กเห็นความแตกต่าง > หยุด เพื่อควบคุมตัวเองและการทรงตัว
Ø สอนจังหวะปกติ แล้วจึงเริ่มจากช้า – เร็ว เพื่อให้เด้กเรียนรู้และเกิดการเปรียบเทียบ
Ø เมื่อเด็กมีข้อมูลเยอะจะทำให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์
กิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ : เด็กปฐมวัย
เด็กปฐมวัยกับการเคลื่อนไหวเป็นของคู่กัน เด็กเรียนรู้และได้ประสบการณ์ต่างๆจากการเคลื่อนไหว
สมองส่วนเคลื่อนไหวมีการพัฒนามากในวัยนี้
ผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูจำเป็นจะต้องจัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ สำหรับจังหวะและดนตรีที่ใช้ประกอบอาจจะเป็น เสียงเพลง
การเคาะไม้ กลอง การตบมือ เป็นต้น
นอกจากนั้นยังต้องเข้าใจถึงพัฒนาการและความสามารถด้านร่างกายของเด็กในวัยต่างๆด้วย
เพราะจะทำให้สามารถฝึกให้เด็กปฏิบัติกิจกรรมได้อย่าง เหมาะสมกับวัย
และพัฒนาการด้านร่างกาย อย่างเช่นเด็กวัยต่างๆมีพัฒนาดังนี้
เด็กอายุ 2-3 ปี เด็กสามารถเดินได้อย่างแข็งแรง มั่นคง ถอยหลัง ยืนขาเดียว
โยนลูกบอลโดยใช้อุ้งมือและแขน ทำท่าทางเคลื่อนไหวเมื่อได้ยินจังหวะเพลง
วิ่งไปข้างหน้าได้อย่างคล่องแคล่ว ใช้เท้าทั้งสองกระโดดอยู่กับที่และเดินเขย่งได้
เด็กอายุ 3-4 ปี ขึ้นลงบันไดสลับเท้า ยืนขาเดียวได้นานขึ้น กระโดดขาเดียว
โยนลูกบอลระยะไกลได้ 1 เมตร รับลูกบอลด้วยมือทั้งสอง
แกว่งแขนและขาไปตามจังหวะเพลงได้
เด็กอายุ 4-5 ปี กระโดดสลับเท้า กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางที่ไม่สูงนัก
เดินต่อเท้า ถอยหลัง ขว้างโยนลูกบอลและรับลูกบอล รับลูกบอลที่กระดอนจากพื้น
แสดงท่าทางเคลื่อนไหวตามจังหวะได้
เด็กอายุ 5—6 ปี เมื่อวิ่งอย่างเร็ว สามารถหยุดได้ทันที
กระโดดขาเดียวตรงไปข้างหน้า รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นด้วยมือทั้งสอง
เดินต่อเท้า เดินถอยหลังบนขอนไม้หรือกระดานแผ่นเดียว
เดินตามจังหวะเพลงหรือตามจินตนาการได้
เมื่อต้องการพัฒนาเด็กด้านร่างกายในวัยที่กล่าว
ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจในหลักการพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงอายุ
เด็กก็จะได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ อย่างการที่ครูต้องการให้เด็กได้เดิน วิ่ง
กระโดด สไลด์ ควบม้าอย่างเหมาะสมกับวัย
ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่จะต้องรู้วิธีการฝึกการเคลื่อนไหวให้กับเด็กด้วยกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะซึ่งพอจะกล่าวได้ดังนี้
1
ให้เด็กได้เคลื่อนไหวเลียนแบบท่าทางของสัตว์ต่างๆ เช่น เป็ด กระต่าย ม้า
เต่า งู ช้าง ฯลฯ
2
ให้เด็กเคลื่อนไหวประกอบเพลงหรือตามคำบรรยายของครู
3
ให้เด็กเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่างๆ ทั้งด้านหน้า-หลัง ซ้าย-ขวา ด้วยอัตราช้า-เร็ว
4
ครูกำหนดสัญญาณแล้วให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระเมื่อได้ยินสัญญาณให้หยุดและเปลี่ยนท่า
5
เคลื่อนที่ไปโดยให้มีระยะต่ำกว่าเอว
6
ให้เด็กจับคู่กันแล้วให้เคลื่อนไหวร่างกายไปโดยให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสกัน
7 ให้เคลื่อนไหวตามจินตนาการ
เช่นทำตัวเหมือนลูกบอล ทำตัวเหมือนนุ่น ทำตัวเหมือนต้นข้าว
แล้วให้เคลื่อนไหวไปตามกระแสลม
การฝึกการเคลื่อนไหวและจังหวะดังกล่าวข้างต้นครูจะต้องคอยดูแลและสนับสนุน
และออกแบบกิจกรรมให้เกิดประโยชน์ต่อเด็กมากที่สุด และจะต้องไม่ลืมว่าสิ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวคือ
เนื้อที่ในการเคลื่อนไหว
ครูจะต้องฝึกเด็กให้รู้จักบริเวณเนื้อที่ที่ใช้ในการเคลื่อนไหว
รู้ขอบเขตของอวัยวะในการเคลื่อนไหว ทำให้ไม่ชนกัน
ไม่เกาะเป็นกลุ่มหรือตามกันเป็นกลุ่ม
ทำให้เกิดความมั่นใจในการเคลื่อนไหวนอกจากเนื้อที่แล้วครูต้องฝึกเด็กให้รู้ทิศทางการเคลื่อนไหว
เช่น ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวา และรู้ระดับต่างๆของการเคลื่อนไหว เช่น
อวัยวะของการเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูง กลาง ต่ำ เป็นต้น
คำศัพท์ที่น่าสนใจ
Working Memory ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน
Inhibitory Control ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง
Shift Cognitive Flexibility ทักษะการยืดหยุ่นความคิด
Focus ทักษะการใส่ใจจดจ่อ
Emotion Control การควบคุมอารมณ์
Self-Monitoring การประเมินตัวเอง
Initiating การริเริ่มและลงมือทำ
Planning and Organizing การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ
Goal-Directed Persistence การมุ่งเป้าหมาย
การนำมาประยุกต์ใช้
นำความรู้และหลัการที่อาจารย์สอนไปใช้ในการฝึกสอนได้
เช่น การเขียนแผนการสอน การร้องเพลง และยังรวมไปถึงการเตรียมเขียนแผนการสอนในหน่วยการเรียนรู้ต่างๆว่าจะต้องมีขั้นตอนอย่างไรบ้างเพื่อง่ายต่อการเขียนแผน
การสอนกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะจะต้องมีความช้า/เร็ว เพื่อให้เด็กเห็นความแตกต่าง > หยุด เพื่อควบคุมตัวเองและการทรงตัวและสอนจังหวะปกติ แล้วจึงเริ่มจากช้า – เร็ว เพื่อให้เด้กเรียนรู้และเกิดการเปรียบเทียบ
ควรสอนในเรื่องที่เด็กรู้จักเพราะเมื่อเด็กมีข้อมูลเยอะจะทำให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์
การประเมินผล
ประเมินตนเอง
ไปตรงเวลาและตั้งใจฟังที่อาจารย์พูด
มีข้อเสนอแนะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับอาจารยืเมื่ออาจารรย์ถาม และทำงานกับเพื่อนได้ตามบรรลุเป้าหมาย
ตอบคำถามและถามอาจารย์เมื่อไม่เข้าใจ
ประเมินเพื่อน
เพื่อนตั้งใจเรียนและช่วยกันตอบคำถามของอาจารยืได้เป้นอย่างดี
ประเมินอาจารย์ผู้สอน
อาจารย์มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลาและเตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี
แต่งกายได้เหมาะสมสามารถเป็นตัวอย่างให้กับนักศึกษาได้
แนะนำและอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำเสนอเพื่อให้นักศึกษามีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
และหากนักศึกษามีข้อสงสัยอาจารย์ก็สามารถอธิบายให้นักศึกษาฟังได้อย่างดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น