วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561


บันทึกหลังการเรียนรู้
ครั้งที่ 8 วันที่ 5 มีนาคม 2561
เนื้อหาการเรียนรู้
หลักการและทักษะของ EF
ทักษะ EF คือ กระบวนการทางความคิดในสมองส่วนหน้า ที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก การกระทำ เป็นความสามารถของสมองที่ใช้บริหารจัดการในชีวิตเรื่องต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถตั้งเป้าหมายในชีวิต รู้จักวางแผน มีความมุ่งมั่น จดจำสิ่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งรู้จักริเริ่มลงมือทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน

ความสำคัญของ EF
ฐานของทักษะEF ที่แข็งแกร่งมีความสำคัญยิ่งกว่าการรู้จักตัวเลขหรือตัวหนังสือ เมื่อเด็กได้รับโอกาสพัฒนา EF ทั้งตัวเด็กเองและสังคมได้รับประโยชน์ จะช่วยสร้างพฤติกรรมเชิงบวกและเลือกตัดสินใจในทางที่สร้างสรรค์ต่อตัวเอง และครอบครัว หากเด็กมีทักษะ EFs เขาจะมีความสามารถในการคิด
v มีความจำดี มีสมาธิจดจ่อสามารถทำงานต่อเนื่องได้จนเสร็จ
v รู้จักการวิเคราะห์ มีการวางแผนงานอย่างเป็นระบบ ลงมือทำงานได้ และจัดการกับกระบวนการทำงาน จนเสร็จทันตามกำหนด
v นำสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อนในประสบการณ์มาใช้ในการทำงานหรือกิจกรรมใหม่ได้
v สามารถปรับเปลี่ยนความคิดได้ เมื่อเงื่อนไขหรือสถานการณ์เปลี่ยนไป ไม่ยึดติดตายตัว จนถึงขั้นมีความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบได้
v รู้จักประเมินตนเอง นำจุดบกพร่องมาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นได้
v รู้จักยับยั้งควบคุมตนเองไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสมแม้จะมีสิ่งยั่วยวน
v รู้จักแสดงออกในครอบครัวในห้องเรียน กับเพื่อน หรือในสังคมอย่างเหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่การรู้จักเคารพผู้อื่น อยู่กับคนอื่นได้ดี ไม่มีปัญหา
v เป็นคนที่อดทนได้ รอคอยเป็น มีความมุ่งมั่นพร้อมความรับผิดชอบที่จะไปสู่ความสำเร็จ

สำหรับกลุ่มทักษะ EF ที่สำคัญมีทั้งหมด 9 ด้าน
 1.ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน (Working Memory) คือทักษะจำหรือเก็บข้อมูลจากประสบการณ์ที่ผ่านมา และดึงมาใช้ประโยชน์ตามสถานการณ์ที่พบเจอ เด็กที่มี Working Memory ดี IQ ก็จะดีด้วย

2.ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) คือความสามารถในการควบคุมความต้องการของตนเองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เด็กที่ขาดความยับยั้งชั่งใจจะเหมือน “รถที่ขาดเบรก” อาจทำสิ่งใดโดยไม่คิด มีปฏิกิริยาในทางที่ก่อให้เกิดปัญหาได้

3.ทักษะการยืดหยุ่นความคิด (Shift Cognitive Flexibility) คือความสามารถในการยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ยึดตายตัว

4.ทักษะการใส่ใจจดจ่อ (Focus) คือความสามารถในการใส่ใจจดจ่อ มุ่งความสนใจอยู่กับสิ่งที่ทำอย่าง ต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง

5.การควบคุมอารมณ์ (Emotion Control) คือ ความสามารถในการควบคุมแสดงออกทางอารมณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เด็กที่ควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่ได้ มักเป็นคนโกรธเกรี้ยว ฉุนเฉียว และอาจมีอาการซึมเศร้า

6.การประเมินตัวเอง (Self-Monitoring) คือการสะท้อนการกระทำของตนเอง รู้จักตนเอง รวมถึงการประเมินการงานเพื่อหาข้อบกพร่อง

7.การริเริ่มและลงมือทำ (Initiating) คือ ความสามารถในการริเริ่มและลงมือทำตามที่คิด ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

8.การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ (Planning and Organizing) คือทักษะการทำงาน ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การวางแผน การมองเห็นภาพรวม ซึ่งเด็กที่ขาดทักษะนี้จะวางแผนไม่เป็น ทำให้งานมีปัญหา

9.การมุ่งเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence) คือ ความพากเพียรมุ่งสู่เป้าหมาย เมื่อตั้งใจและลงมือทำสิ่งใดแล้ว ก็มีความมุ่งมั่นอดทน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ ก็พร้อมฝ่าฟันให้สำเร็จ

เทคนิคในการสร้าง EF นั้น เริ่มจากการเลือกของเล่นให้ลูกเล่น ทำให้เขาคิดอย่างสร้างสรรค์ ตัวอย่างของเล่น อาทิเช่น
ü ตัวต่อบล็อกไม้
ü เลโก้
ü หมากฮอส
ü หมากรุก
ü จิ๊กซอว์ แบบง่าย ๆ
ü ของเล่นสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม และมีรูให้หลอดลงในช่อง
ของเล่นเหล่านี้ เป็นการพัฒนาความคิดของเด็ก หรือแม้แต่การทำงานบ้าน อาจจะเตรียมผ้าแห้งเขาเขาเล่นเช็ดตู้ เช็ดพื้น หรือไม้กวาดให้เขาได้กวาดบ้าน เป็นการฝึกความรับผิดชอบ รวมถึง การอ่านหนังสือให้ฟังทุกคืน ยิ่งพ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังมากเท่าไหร่ เด็กก็จะมีทักษะเรื่องการอ่าน (รวมถึงรักการอ่านด้วย) รวมถึงการเขียน ฝึกให้มีเชาวน์ปัญญาดี

(ข้อมูลอ้างอิง www.thaihealth.or.th / www.rhlhub.com )

ความรูเพิ่มเติม
     ประสบการณ์ ทำให้เด้กเกิดการเรียนรู้

กิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
  v เคลื่อนไหวอยู่กับที่และเคลื่อนไหวแบเคลื่อนที่
  ü เคลื่อนไหวแบบฟังและปกิบัติตามคำสั่ง
  ü เคลื่อนไหวแบบคำบรรยาย
  ü เคลื่อนไหวตามข้อตกลง
  ü เคลื่อนไหวแบบผู้นำผู้ตาม
  ü เคลื่อนไหวตามจินตนาการ
  ü เคลื่อนไหวโดยใช้ความจำ
  ü เคลื่อนไหวประกอบดนตรี/เพลง
เทคนิคและวิธีการในการสอนกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
  Ø ช้า/เร็ว เพื่อให้เด็กเห็นความแตกต่าง > หยุด เพื่อควบคุมตัวเองและการทรงตัว
  Ø สอนจังหวะปกติ แล้วจึงเริ่มจากช้า เร็ว เพื่อให้เด้กเรียนรู้และเกิดการเปรียบเทียบ
  Ø เมื่อเด็กมีข้อมูลเยอะจะทำให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์

กิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ : เด็กปฐมวัย
       เด็กปฐมวัยกับการเคลื่อนไหวเป็นของคู่กัน เด็กเรียนรู้และได้ประสบการณ์ต่างๆจากการเคลื่อนไหว สมองส่วนเคลื่อนไหวมีการพัฒนามากในวัยนี้ ผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูจำเป็นจะต้องจัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ  สำหรับจังหวะและดนตรีที่ใช้ประกอบอาจจะเป็น เสียงเพลง การเคาะไม้ กลอง การตบมือ เป็นต้น นอกจากนั้นยังต้องเข้าใจถึงพัฒนาการและความสามารถด้านร่างกายของเด็กในวัยต่างๆด้วย เพราะจะทำให้สามารถฝึกให้เด็กปฏิบัติกิจกรรมได้อย่าง เหมาะสมกับวัย และพัฒนาการด้านร่างกาย อย่างเช่นเด็กวัยต่างๆมีพัฒนาดังนี้

      เด็กอายุ 2-3 ปี เด็กสามารถเดินได้อย่างแข็งแรง มั่นคง ถอยหลัง ยืนขาเดียว โยนลูกบอลโดยใช้อุ้งมือและแขน ทำท่าทางเคลื่อนไหวเมื่อได้ยินจังหวะเพลง วิ่งไปข้างหน้าได้อย่างคล่องแคล่ว ใช้เท้าทั้งสองกระโดดอยู่กับที่และเดินเขย่งได้

      เด็กอายุ 3-4 ปี ขึ้นลงบันไดสลับเท้า ยืนขาเดียวได้นานขึ้น กระโดดขาเดียว โยนลูกบอลระยะไกลได้ 1 เมตร รับลูกบอลด้วยมือทั้งสอง แกว่งแขนและขาไปตามจังหวะเพลงได้

     เด็กอายุ 4-5 ปี กระโดดสลับเท้า กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางที่ไม่สูงนัก เดินต่อเท้า ถอยหลัง ขว้างโยนลูกบอลและรับลูกบอล รับลูกบอลที่กระดอนจากพื้น แสดงท่าทางเคลื่อนไหวตามจังหวะได้

     เด็กอายุ 5—6 ปี เมื่อวิ่งอย่างเร็ว สามารถหยุดได้ทันที กระโดดขาเดียวตรงไปข้างหน้า รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นด้วยมือทั้งสอง เดินต่อเท้า เดินถอยหลังบนขอนไม้หรือกระดานแผ่นเดียว เดินตามจังหวะเพลงหรือตามจินตนาการได้
   เมื่อต้องการพัฒนาเด็กด้านร่างกายในวัยที่กล่าว ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจในหลักการพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงอายุ เด็กก็จะได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ อย่างการที่ครูต้องการให้เด็กได้เดิน วิ่ง กระโดด สไลด์ ควบม้าอย่างเหมาะสมกับวัย ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่จะต้องรู้วิธีการฝึกการเคลื่อนไหวให้กับเด็กด้วยกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะซึ่งพอจะกล่าวได้ดังนี้
1  ให้เด็กได้เคลื่อนไหวเลียนแบบท่าทางของสัตว์ต่างๆ เช่น เป็ด กระต่าย ม้า เต่า งู ช้าง ฯลฯ
2  ให้เด็กเคลื่อนไหวประกอบเพลงหรือตามคำบรรยายของครู
3  ให้เด็กเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่างๆ ทั้งด้านหน้า-หลัง  ซ้าย-ขวา ด้วยอัตราช้า-เร็ว
4  ครูกำหนดสัญญาณแล้วให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระเมื่อได้ยินสัญญาณให้หยุดและเปลี่ยนท่า
5  เคลื่อนที่ไปโดยให้มีระยะต่ำกว่าเอว
6  ให้เด็กจับคู่กันแล้วให้เคลื่อนไหวร่างกายไปโดยให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสกัน
7  ให้เคลื่อนไหวตามจินตนาการ เช่นทำตัวเหมือนลูกบอล ทำตัวเหมือนนุ่น ทำตัวเหมือนต้นข้าว
แล้วให้เคลื่อนไหวไปตามกระแสลม
การฝึกการเคลื่อนไหวและจังหวะดังกล่าวข้างต้นครูจะต้องคอยดูแลและสนับสนุน และออกแบบกิจกรรมให้เกิดประโยชน์ต่อเด็กมากที่สุด และจะต้องไม่ลืมว่าสิ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวคือ เนื้อที่ในการเคลื่อนไหว ครูจะต้องฝึกเด็กให้รู้จักบริเวณเนื้อที่ที่ใช้ในการเคลื่อนไหว รู้ขอบเขตของอวัยวะในการเคลื่อนไหว ทำให้ไม่ชนกัน ไม่เกาะเป็นกลุ่มหรือตามกันเป็นกลุ่ม ทำให้เกิดความมั่นใจในการเคลื่อนไหวนอกจากเนื้อที่แล้วครูต้องฝึกเด็กให้รู้ทิศทางการเคลื่อนไหว เช่น ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวา และรู้ระดับต่างๆของการเคลื่อนไหว เช่น อวัยวะของการเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูง กลาง ต่ำ เป็นต้น

คำศัพท์ที่น่าสนใจ
Working Memory                  ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน
Inhibitory Control                  ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง
Shift Cognitive Flexibility          ทักษะการยืดหยุ่นความคิด
Focus                             ทักษะการใส่ใจจดจ่อ
Emotion Control                   การควบคุมอารมณ์
Self-Monitoring                   การประเมินตัวเอง
Initiating                         การริเริ่มและลงมือทำ
         Planning and Organizing          การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ
Goal-Directed Persistence        การมุ่งเป้าหมาย
การนำมาประยุกต์ใช้
นำความรู้และหลัการที่อาจารย์สอนไปใช้ในการฝึกสอนได้ เช่น การเขียนแผนการสอน การร้องเพลง และยังรวมไปถึงการเตรียมเขียนแผนการสอนในหน่วยการเรียนรู้ต่างๆว่าจะต้องมีขั้นตอนอย่างไรบ้างเพื่อง่ายต่อการเขียนแผน การสอนกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะจะต้องมีความช้า/เร็ว เพื่อให้เด็กเห็นความแตกต่าง > หยุด เพื่อควบคุมตัวเองและการทรงตัวและสอนจังหวะปกติ แล้วจึงเริ่มจากช้า เร็ว เพื่อให้เด้กเรียนรู้และเกิดการเปรียบเทียบ ควรสอนในเรื่องที่เด็กรู้จักเพราะเมื่อเด็กมีข้อมูลเยอะจะทำให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์
การประเมินผล
ประเมินตนเอง
ไปตรงเวลาและตั้งใจฟังที่อาจารย์พูด มีข้อเสนอแนะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับอาจารยืเมื่ออาจารรย์ถาม และทำงานกับเพื่อนได้ตามบรรลุเป้าหมาย ตอบคำถามและถามอาจารย์เมื่อไม่เข้าใจ
ประเมินเพื่อน
เพื่อนตั้งใจเรียนและช่วยกันตอบคำถามของอาจารยืได้เป้นอย่างดี
 ประเมินอาจารย์ผู้สอน
อาจารย์มีความรับผิดชอบตรงต่อเวลาและเตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี แต่งกายได้เหมาะสมสามารถเป็นตัวอย่างให้กับนักศึกษาได้ แนะนำและอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำเสนอเพื่อให้นักศึกษามีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และหากนักศึกษามีข้อสงสัยอาจารย์ก็สามารถอธิบายให้นักศึกษาฟังได้อย่างดี




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น